เศรษฐกิจ 14 มิ. ย. 2564 เวลา 20:00 น. 3. 8k หลายประเทศคาดการณ์ว่า "รถยนต์ไฟฟ้า" (EV) จะมีดีมานด์มากขึ้น รวมถึงความต้องการอุปกรณ์ชาร์จไฟฟ้าให้รถ EV ก็ต้องเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ชวนเช็คว่าประเทศไทยพร้อมไหม? ที่จะเป็นฐานการผลิตในอนาคต ไม่นานมานี้ มีข้อมูลจาก McKinsey & Company บริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหารชั้นนำของโลก ได้ออกมาเปิดเผยว่า ค่ายรถยนต์ทั่วโลกจะเปิดตัว "รถยนต์ไฟฟ้า" หรือ EV มากกว่า 350 รุ่น ภายใน 4 ปีข้างหน้า ส่งผลให้ตลาดอุตสาหกรรมยานยนต์ EV ในจีน สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา เติบโตประมาณ 120 ล้านคัน ในปี 2573 มองกลับมาที่ประเทศไทย ได้ข่าวแว่วๆ ว่าเราอยากเป็นฐานการผลิตของ "รถยนต์ไฟฟ้า" ลองมาเช็คกันว่าไทยมีนโยบายอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ 1. "รถยนต์ไฟฟ้า" เติบโตสูงมากในตลาดโลก เทรนด์การใช้ รถยนต์ไฟฟ้า ทั่วโลกอยู่ในระดับสูงมาก โดย McKinsey & Company คาดการณ์ว่าจะมี EV มากกว่า 350 รุ่น ที่ค่ายรถทั่วโลกปล่อยออกมาชิงตลาดภายในปี 2568 โดยจะมีการพัฒนา EV ให้ขับขี่ได้ไกลกว่าในปัจจุบัน อีกทั้งยังระบุอีกว่า ความต้องการด้านพลังงานสำหรับ EV จะเติบโตมากในช่วงปี 2563 - 2573 อยู่ที่ราว 20, 000 – 280, 000 ล้านกิโลวัตต์ต่อชั่วโมง 2.
2564 – 2565 แต่หลังจากนั้นในปี พ.
พ. ที่ผ่านมานั้น ครอบคลุมเฉพาะรถยนต์ประเภทที่ 1 นั่นก็คือ รถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% หรือ BEV รัฐจัดให้ทั้งลดทั้งแถม โดยเมื่อวันที่ 15 ก. ที่ผ่านมา ครม. ได้มีมติเห็นชอบแพ็กเกจช่วยเรื่องภาษีและเงินสนับสนุนเพื่อให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าถูกลง ซึ่งจะเป็นการจูงใจผู้บริโภคให้มาซื้อรถยนต์ประเภทนี้กันมากขึ้น เพื่อให้ได้เป้าหมาย "30/30 " ที่คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติตั้งไว้ คือ ในปี ค. ศ. 2030 หรือปี พ. 2573 จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ 30% ของการผลิตรถยนต์ในประเทศ โดยผลิตประเภทรถยนต์นั่งไฟฟ้าและรถกระบะไฟฟ้า 725, 000 คัน และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 675, 000 คัน ครม. ได้เห็นชอบใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 3, 000 ล้านบาท ให้กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลังดำเนินการตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ และเห็นชอบให้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช. ) จัดหาแหล่งงบประมาณในปีงบประมาณ 2566-2568 วงเงินประมาณ 40, 000 ล้านบาท จากแหล่งงบประมาณที่เหมาะสมเพื่อดำเนินการตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า พร้อมทั้งอนุมัติให้กรมสรรพสามิตคืนเงินสำหรับผู้รับสิทธิตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ตลอดจนให้ออกประกาศกระทรวงการคลังเพื่อดำเนินการตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ สำหรับมาตรการสนับสนุน มีทั้งมาตรการทางภาษี และมาตรการที่ไม่ใช่ทางภาษี ได้แก่ 1.
ทีมเศรษฐกิจ
พ. 65 ครม.
เครื่องยนต์ไฮบริด หากเป็นรถยนต์นั่งเครื่องยนต์ต่ำกว่า 3, 000 ซีซี เสียภาษี 8% แต่จะเสียเพียง 4% จนถึงปี 2568 และหากเครื่องยนต์มากกว่า 3, 000 ซีซี จะเสียภาษี 16-26% ตามปริมาณการปล่อยคาร์บอน ไดออกไซด์ แต่ระหว่างนี้จนถึงปี 2568 กรมสรรพาสามิตลดาภาษีให้ 50% และ 2.
ดร. ภูรี สิรสุนทร อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ขอสังเกตุว่านโยบายของประเทศที่ทำสำเร็จและอยู่ในสถานะ "ผู้นำ Electric Vehicle" เขาผลักดันนโยบายกันอย่างไร มีวิธีการหรือมาตรการอย่างไรให้คนหันมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ผศ.